อยากให้มีกองทุนแบบนี้เกิดขึ้นในประเทศไทย (หรือในโลก) จัง
วัตถุประสงค์ของกองทุนคือ การระดมเงินเพื่อใช้ดอกผลของเงินที่ระดมนั้น
ไปช่วยเหลือองค์กรการกุศล หรือพัฒนาสังคมในด้านต่างๆ
โดยมีเงื่อนไขคือ ทุกๆ คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกองนี้ ก็ต้องได้ประโยชน์ด้วย
ตัวอย่างเช่น ตั้งเป็นกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนที่ความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ
อาจเน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ ภาคเอกชน เงินฝาก ฯลฯ
หรือ ไหนๆ ก็จะมีการบังคับใช้ พรบ.ประกันเงินฝาก คุ้มครองบัญชีละ 1 ล้านบาทอยู่แล้ว
ก็อาจจะเน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐล้วนๆ ไปเลย เพื่อความปลอดภัยก็ได้
โดยโครงสร้างจะเป็นกองทุนเปิดก็ได้ เป็นกองแบบ Roll-over ก็ได้
หรือจะเป็นกองปิด มีอายุชัดเจน แนวๆ Term Fund ก็ได้ ทั้งนี้มีหลักการสำคัญคือ
1) นักลงทุนที่มาลงทุน ต้องได้รับผลตอบแทน เพียงแต่ผลตอบแทนอาจไม่มาก
แต่ก็ควรได้มากกว่าการทิ้งเงินไว้ในบัญชีออมทรัพย์
อาจมีข้อกำหนดไว้ล่วงหน้าว่า จะได้รับผลตอบแทนไม่เกินค่าใดค่าหนึ่งที่กำหนดไว้ชัดเจน
เช่น ไม่เกิน Benchmark (อาจใช้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน / 6 เดือน)
หรืออาจจะเป็น Benchmark + ค่าคงทีซักค่า เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน + 0.25% ก็ได้
2) บริษัทจัดการ หรือ บลจ. ที่บริหาร ต้องได้ค่าธรรมเนียมการจัดการ
แต่ควรจัดเก็บในระดับที่ต่ำกว่ากองทุนรวมทั่วไป ส่วนจะต่ำมากแค่ไหนนั้น
ก็อยู่ที่ CSR Spirit ของบริษัทจัดการ โดยควรยึดเอาวัตถุประสงค์ว่ากองทุนมีขึ้น
เพื่อจะนำดอกผลไปช่วยสังคม หากเก็บค่าจัดการมาก ก็เหลือเงินไปช่วยสังคมน้อย
แต่ยังไงคิดว่าควรต้องเก็บนะครับ เพราะการดำเนินการก็มีค่าใช้จ่ายแน่ๆ
3) องค์กรการกุศล หรือโครงการเพื่อสังคมต่างๆ จะได้รับเงินช่วยเหลือ
โดยจ่ายออกจากผลตอบแทนส่วนที่เหลือ หลังจากที่หักค่าธรรมเนียมการจัดการ
และหักผลตอบแทนที่จ่ายให้กับนักลงทุนไปแล้ว
โดยอาจให้สิทธิ์นักลงทุนได้เลือกว่า จะเอาผลตอบแทนส่วนของตน
ไปบริจาคให้องค์กรไหน และหากองค์กรนั้น สามารถนำเงินบริจาคไปลดหย่อนภาษีได้
เงินที่จ่ายออกจากกองทุน ก็น่าจะเอาไปลดหย่อนภาษีได้ด้วย
ผลประโยชน์ทางตรงต่อสังคม (ในเชิงตัวเลข)
หากยกตัวอย่างจากภาวะการลงทุนจริงในปี 2554 ก็จะพบว่า
กองทุนรวมที่มีความเสี่ยงต่ำๆ ประเภท Money Market Fund มีผลตอบแทนทั้งปี
ประมาณซัก 2.50% ขณะที่ Benchmark คืออัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือนเฉลี่ย
ในช่วงเดียวกันจะได้ผลตอบแทนประมาณ 1.70%
หากเอา 2.50% – 1.70% ก็จะเหลือ 0.80%
ถ้ากองทุนนี้มีขนาด 1 พันล้าน ก็จะมีเงินไปช่วยเหลือสังคมประมาณ 8 ล้านบาทต่อปี
ถ้า (โชคดี) กองทุนมีขนาด 1 หมื่นล้าน เงินช่วยเหลือก็จะกลายเป็น 80 ล้านบาทต่อปี
ถ้า (โชคดีสุดๆ) กองทุนมีขนาด 5 หมื่นล้าน เงินช่วยเหลือก็จะกลายเป็น 160 ล้านบาทต่อปี
ซึ่งความจริงๆ อาจจะได้มากกว่านี้ เพราะบริษัทจัดการอาจใจดี
เก็บค่าธรรมเนียมการจัดการต่ำกว่ากองทุนทั่วไป
ผลประโยชน์ทางตรงต่อนักลงทุน (ในเชิงตัวเลข)
ดอกผลประมาณ 1.70% หากลงทุนไว้ 1 ล้านบาท ก็จะได้ 17,000 บาท
ขณะที่ถ้าไม่เอามาลงกองนี้ แล้วฝากออมทรัพย์ไว้ ได้ดอกเบี้ย 0.75%
ก็จะได้ดอกผลเพียง 7,500 บาท แถมอาจต้องเสียภาษีดอกเบี้ย 15% ด้วย
ผลประโยชน์ทางตรงต่อบริษัทจัดการ (ในเชิงตัวเลข)
หากสมมติว่าบริษัทจัดการเก็บค่าธรรมเนียมการจัดการ 0.50%
แล้วกองทุนมีขนาด 1 พันล้าน บริษัทจัดการก็จะมีรายได้ปีละ 5 ล้านบาท
แต่หากกองใหญ่ขึ้นเป็น 1 หมื่นล้าน ก็จะคิดเป็นรายได้ถึง 50 ล้านบาท ต่อปี
ซึ่งอย่างที่บอกไปครับ ว่าอาจจะเก็บน้อยกว่านี้ก็ได้
ที่สำคัญคือ ทุกๆ คนได้ประโยชน์ และยังมีประโยชน์ทางอ้อมที่ไม่ได้พูดถึงอีกมาก
และคนที่มาลงทุน ยังคงมีเงินต้นเหลือครบ ในกองทุนที่ความเสี่ยงต่ำ
(เผลอๆ เสี่ยงน้อยกว่าเงินฝาก) พร้อมได้ดอกผลไม่แพ้เงินฝากออมทรัพย์
แนวคิดคร่าวๆ เท่าที่นึกขึ้นมาเร็วๆ ก็ประมาณนี้ครับ
เหตุที่ทำให้คิดถึงเรื่องนี้ก็เพราะได้มีโอกาสรับฟังข่าวสาร และประสบพบเจอด้วยตัวเอง
ว่า องค์กรเพื่อการกุศล หรือมูลนิธิต่างๆ หลายๆ แห่ง มีค่าใช้จ่ายประจำค่อนข้างสูง
และเป็นรายจ่ายที่หยุดจ่ายไม่ได้ เพราะเป็นการจ่ายให้กับโครงการที่กำลังทำอยู่
วิธีแก้ปัญหาเรื่องเงินไม่พอ ก็ต้องเชิญชวนให้คนไปบริจาคเป็นพักๆ
ซึ่งก็ได้พอบ้าง ไม่พอบ้าง ที่แย่คือ กระแสเงินที่ได้ ไม่ต่อเนื่อง และ มีความไม่แน่นอนสูง
เลยแค่คิดขึ้นมาว่า เราเองทำงานอยู่ในสายงาน บลจ. จะมีอะไรที่ช่วยได้บ้างมั๊ย
ไอเดียเลยออกมาประมาณเป็นกองทุนแบบนี้… แต่พอคิดเสร็จ ก็ไม่กล้าไปบอกใคร
เลยเอามาโพสใน facebook กับใน blog ตัวเองนี่แหละครับ
เผื่อว่าจะมีผู้ใหญ่ใจดีมาเห็น หรือมีใครไปเล่าให้ผู้ใหญ่ใจดีได้รับฟังเข้า แล้วเกิดกองทุนนี้ขึ้นจริงๆ
ยิ่งถ้าแข่งกันทำ ยิ่งดีเลยครับ ยกตัวอย่างเช่น 1 บลจ. ก็มีอย่างน้อย 1 กองทุน
เป็นกิจกรรม CSR ที่ตรงกับความเชี่ยวชาญของ บริษัทจัดการลงทุนพอดี
(อาจจะไม่ต้องไปปลูกป่า เก็บขยะ สร้างโรงเรียน สร้างห้องน้ำ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ตัวเองก็ทำไม่เก่ง)
แต่หันมาแข่งกันใช้ความคิดสร้างสรรค์ แข่งกันสร้างผลตอบแทน
ที่ท้ายที่สุดผลตอบแทนส่วนหนึ่งจะกลับคืนไปเป็นประโยชน์ต่อสังคม
ถ้ามีกองแบบนี้เมื่อไหร่ ผมขอปวารณาตัวที่จะช่วยโปรโมท ช่วยประชาสัมพันธ์
และจะเอาเงินสภาพคล่องที่มีในออมทรัพย์ไปพักในกองทุนนี้ด้วยคนครับ 😀
ปล. หากเพื่อนๆ ท่านไหนมีไอเดียอะไรเพิ่มเติม หรืออยากแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอะไร
เชิญได้ที่ช่อง Comment ด้านล่างเลยนะครับ