พร 2 ประการวันปีใหม่ไทย 2554 เพื่อ “สุขภาพกาย” และ “สุขภาพใจ” ที่ดี

.
สืบเนื่องมาจากวันนี้ (17 เม.ย. 54) ผมโพสในหน้า FB ของผมว่า
ปีใหม่ไทยที่ผ่านมานี้ มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับชีวิต 2 เรื่อง
และเป็นสองเรื่องสำคัญ ที่จะเปลี่ยนชีวิตในอนาคตข้างหน้าได้เยอะมากๆ

ผมได้เล่ารายละเอียดบางส่วนไปใน FB ทำให้มีเพื่อนๆ เสนอให้เอามาเขียนในบล๊อคด้วย

ผมชั่งใจอยู่พักหนึ่ง (ประมาณ 10 วิ) เพราะเนื้อหามันไม่ค่อยเกี่ยวกับ “การเงินการลงทุน” เท่าไหร่
กลัวจะผิดคอนเซ็ปของบล๊อค แต่พอคิดว่า “อืมม์… มันก็น่าจะเป็นประโยชน์นะ
อีกอย่างบล๊อคก็ไม่ได้อัพเดทมานานแล้ว” ก็เลยตัดสินใจเอามาเขียนแปะไว้ แบ่งปันกันอ่านนะครับ
ชอบไม่ชอบยังไงก็สามารถ comment ได้ครับ

เรื่องของเรื่องคือ ในช่วงวันสงกรานต์ หรือปีใหม่ไทยที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสเรียนรู้ 2 สิ่งที่ดีมากๆ
อย่างแรกคือเรื่องของการ “กินเพื่อให้มีสุขภาพดี” อย่างที่สองคือเรื่อง “การเจริญสติ เพื่อให้เกิดปัญญา
ที่ผมจั่วหัวว่า สองเรื่องนี้เป็น “พร” อันประเสริฐก็เพราะว่า เรื่องแรกพูดถึงการมี “สุขภาพกาย” ที่ดี
ในขณะที่เรื่องที่สองพูดถึงการมี “สุขภาพใจ” ที่ดี ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุด 4 อย่างที่ผมปรารถนาจะมีให้ได้
นั่นคือการมี สุขภาพกายดี, สุขภาพใจดี, มีฐานะดี, และมีครอบครัว/สังคมรอบข้างที่ดี
(ดูรายละเอียดได้ในวิดีโอ “การวางแผนการเงินคืออะไร ”)

ดังนั้น เลยขอใช้พื้นที่ตรงนี้ มาแบ่งปันพร 2 ประการที่ผมได้รับให้กับเพื่อนๆ กันนะครับ
(ต้องขออภัยไว้ก่อนเลยนะครับ  ผมเดาว่าโพสนี้จะต้องยาวแน่ๆ
เขียนทีไรยาวทุกที เป็นเหตุผลว่าช่วงหลังทำไมต้องอัดวิดีโอแล้วพูดแทน)

พรข้อที่ 1 : มีสุขภาพดีได้ด้วยการ “กิน”

เรื่องมันเกิดขึ้น ขณะที่ผมกำลังนั่งรถกลับจากการไปเที่ยวพัทยากับแผนก
โดยมีหัวหน้าผมเป็นคนขับให้ (เป็นเกียรติมากครับ ที่นายขับรถให้นั่ง 😛 )
พี่เค้าชื่อว่า “พี่เพ้ง” ครับ พี่เพ้งเป็นคนที่ดูแลสุขภาพมากๆ จนถึงขั้นมีคนบอกว่าแกเป็นพวก
กินผักกินหญ้า” ซึ่งมองเผินๆ ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ครับ แต่คุยด้วยลึกๆ แล้ว มันไม่ใช่ซะหน่อย

ไม่รู้ว่าคุยกันยังไง ถึงเข้าเรื่องนี้ได้ แต่ผมจำได้ว่าประโยคที่จุดประกายให้ผมสนใจฟัง
และตั้งคำถามต่ออย่างไม่หยุดยั้ง ก็คือประโยคที่ว่า
พี่เพ้ง ตั้งปณิธานไว้ว่า ชีวิตนี้จะไม่ป่วยด้วยโรคที่เกิดจากการกินอาหาร

สำหรับผม มันเป็นประโยคที่ “คม” มากๆ ครับ ได้ทีผมเลยแจ้งปัญหาของผมเลย ว่าผมมีปัญหาอะไรอยู่
ปัญหาของผมก็คือผมพยายามจะควบคุมน้ำหนักโดยการควบคุมการกิน และการออกกำลังกาย แต่…

  • ผมไม่เคยทำได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะเรื่องการออกกำลังกาย
  • ผมไม่ชอบกินผักและผลไม้ โดยเฉพาะต้นหอม
  • ระบบขับถ่ายผมไม่ค่อยดี เข้าห้องน้ำไม่ค่อยเป็นเวลา
  • ผมมีแต่โฟกัสไปที่ปริมาณ “แคลอรี่” ที่กิน เพราะคิดว่ามันจะลดความอ้วนได้
  • ผมว่าผมก็กินพอๆ กับคนอื่น แต่ทำไมผมอ้วนกว่า (ฟะ)
  • แม้จะนอนอิ่มแค่ไหน ผมก็จะตื่นมาด้วยความรู้สึก “เหนื่อย”

พี่เพ้งก็เริ่มอธิบายถึงแนวทางต่างๆ ตั้งแต่แนวทางการกินแบบ มังสวิรัต กินเจ ชีวจิต แมโครไบโอติกส์
(รวมทั้งชื่ออื่นๆ ที่ผมไม่สามารถจะจำได้) พร้อมทั้งบอกถึงจุดเด่น จุดด้อย จุดที่ยังเป็นที่ถกเถียง
ของแต่ละแนวทางการกินอาหาร ทำเอาผมตื่นตาตื่นใจมากครับ เพิ่งจะรู้วันนี้เอง ว่ามี “กูรู” อยู่ใกล้ๆ ตัว
และได้รู้สิ่งที่ไม่เคยรู้เยอะมาก

สุดท้ายพี่เพ้งเลยให้แนวทางที่เป็น “สูตรสำเร็จ” สำหรับคนที่จะเริ่มต้นดูแลสุขภาพอย่างผม
โดยมีหลักคิดที่ว่า “ถ้าเราควบคุม Input คือทุกอย่างที่เราเข้าไปในร่างกายได้ดี เราก็ไม่ต้องกังวลมากนักกับฝั่ง Output
ทำให้แนวทางนี้ ไม่ได้พูดถึงเรื่อง “การออกกำลังกาย
(ซึ่งพี่เพ้งบอกว่า ก็เป็นเรื่องสำคัญ แต่แกคิดว่า มาดูแลเรื่อง “การบริโภค” จะสำคัญกว่า)

และต่อไปนี้คือหลักการ “กินเพื่อให้มีสุขภาพดี” ที่พี่เพ้งได้ให้กับผม ซึ่งผมจะพยายามปฏิบัติให้ได้ครับ

1. เพิ่ม

  • กินข้าวกล้องแทนข้าวขาว เพราะช่วยในการย่อย และมีสารอาหารสารพัดที่ไม่ต้องไปรู้ชื่อหรอก
    เอาเป็นว่าลองกินดู กินให้เป็นนิสัย ราคาก็ไม่ได้แพงขึ้นซักเท่าไหร่
  • กิน “ผัก/ผักสด” ในทุกมื้ออาหาร สลับหมุนเวียนไปเรื่อยๆ อย่าซ้ำมาก อย่ากินแต่อย่างเดิม
  • กิน “ผลไม้” ตบท้ายในทุกๆ มื้ออาหาร โดยเฉพาะ ถ้ากินข้าวไม่อิ่ม
    (ยกเว้นผลไม้หวานจัด เช่น ทุเรียน ขนุน ฯลฯ)
  • เน้นกิน “เนื้อปลา” มากกว่าเนื้ออย่างอื่น

2. ลด

  • ลดอาหารทอด / อาหารมัน
  • ลดน้ำหวาน (Soft Drinks) ชาเย็น โอวัลติน น้ำเขียว น้ำแดง น้ำอัดลม กาแฟใส่นม ฯลฯ
  • ลดกาแฟสด แบบที่ชง เย็นๆ หวานๆ เพราะมันไม่ใช่กาแฟแบบที่ควรกิน
  • ลด Cake ลด Donut ถ้าอยากกินของหวาน หรือจะซื้อขนมไว้ติดบ้าน
    ก็เอาเป็นพวกสาหร่ายอบดีกว่า
  • ลดอาหารบุฟเฟ่ต์ ถ้าจะกินให้กินอาหารประเภทเดียวกัน แต่เลือกร้านที่มันไม่บุฟเฟ่ต์

3. เปลี่ยนแปลง

  • อะไรที่สามารถเปลี่ยนมาเป็นอาหารแบบ “อินทรีย์” ได้ ให้เปลี่ยนมากินแบบอินทรีย์ เช่น ผักอินทรีย์
    (แม้แต่ ไข่ไก่อินทรีย์ ก็มีครับ เพิ่งรู้) เพราะอะไรที่ปลูก/เลี้ยงแบบ อินทรีย์ เป็นการเลี้ยงให้โตตามธรรมชาติ
    มีสารเคมีต่างๆ เข้าไปร่วมด้วยน้อยที่สุด อาจจะจ่ายแพงขึ้น รสชาดไม่ได้ดีขึ้น แต่ระยะยาว รับรองสุขภาพดี
  • อย่าซื้อขนมหวาน/มาม่า เก็บไว้ที่บ้าน เพราะถ้าซื้อเก็บไว้ รับรองมีเหตุให้ได้กินแน่ๆ
  • อย่ากินน้ำทันทีหลังอาหาร หรือพร้อมอาหาร เพราะทำให้น้ำย่อยทำงานได้ไม่ดี
    ให้จิบน้ำเพื่อล้างปากเท่านั้น หลังจากนั้นซัก 20-30 นาที ค่อยกินน้ำ
  • อาหารเด็ดๆ เช่น ข้าวขาหมู ข้าวมันไก่ อาหารเลื่องชื่อต่างๆ ไม่ได้ห้าม กินได้
    แต่ให้เลือกกินเฉพาะร้านที่เด็ดจริงๆ อย่ากินพร่ำเพรื่อ แล้วให้รู้ตัวอยู่เสมอ ว่าขณะนั้น
    กำลังกินเอารสชาดอยู่ ให้ตั้งใจเสพให้เต็มที่
    (เข้าทำนองว่า จะทำลายสุขภาพทั้งที ต้องเลือกร้านเด็ดๆ)

จะเห็นว่า แนวทางทั้งหมดข้างต้นนั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นอะไรที่เราพอจะรู้อยู่แล้ว แต่เราไม่ทำมันเอง
ถามว่าทำไมผมถึง “เชื่อ” นัก แล้วทำไมผมถึงเกิดแรงบันดาลใจที่จะทำตามให้ได้
นั่นเพราะผมมีพี่เพ้งเป็น Living Proof คือเป็นหลักฐานที่ยังมีชีวิต ว่าทำแล้วมันดีจริงๆ
และผมยังติดใจกับประโยคที่ว่า “พี่เพ้งจะไม่ป่วยด้วยโรคที่เกิดจากการกินอาหาร”
มันเป็นอะไรที่เท่ห์มากเลย…  ดังนั้น หน้าที่ของผมก็คือต้องลงมือทำ แล้วก็ทำให้ต่อเนื่องก็เท่านั้นเอง

พี่เพ้งยังทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า “ถ้ายูทำแบบที่พี่เพ้งว่าได้ สักพัก ระบบขับถ่ายของยูจะดีขึ้นก่อน
ยูจะขับถ่ายเป็นเวลามากขึ้น ขับถ่ายง่ายขึ้น แล้วสุขภาพต่างๆ ก็จะดีขึ้นตามเอง… เชื่อพี่เพ้ง

 

พรข้อที่ 2 : เจริญสติด้วยการเคลื่อนไหว เพื่อให้ “ใจฉลาด”

มาถึงพรข้อที่ 2 ครับ… ข้อนี้เป็นพรที่สำคัญที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ครับ แล้วก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผมลังเล
ว่าจะเขียนโพสนี้ดีมั๊ย เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แล้วผมเองก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะสอนใครได้
แต่เอาเป็นว่า ผมเล่าประสบการณ์แบบงูๆ ปลาๆ ให้ฟังแล้วกันนะครับ
อ่านแล้วอย่าเชื่อทั้งหมด ลองคิดตาม หรือลองทำตามดู ถ้าได้ผลดี ก็ค่อยเชื่อครับ

ผมเองสนใจเรื่องพุทธศาสนา ที่มากไปกว่าการนับถือ “พุทธ” แค่ในบัตรประชาชน
มาได้ประมาณ 10 ปีเศษๆ แล้วครับ แต่ก็ปฏิบัติได้อย่างไม่เป็นชิ้นเป็นอันนัก
ลองมาก็สารพัดแนวทาง แต่ก็อ่อนแอ ปวกเปียก เปลี่ยนแนวบ่อย เลยไม่ค่อยจะก้าวหน้าอะไร
ความรู้ต่างๆ ที่มีก็เกิดจากการอ่านตำรับตำราเป็นหลัก

มาช่วงหลังนี้พ่อผมป่วยหนัก เข้า ICU ต่อเนื่องเกิน 1 เดือน ผมเองก็ต้องลางานกลับไปช่วยทางบ้าน
อยู่ร่วมครึ่งเดือน ช่วงนี้เป็นช่วงที่ลำบากใจ แล้วก็หดหู่มากๆ ครับ เรียกได้ว่าเคล็ดวิชาต่างๆ
ในการดูแลจิต ดูแลใจ ผมต้องงัดออกมาใช้หมด โดยเฉพาะเรื่องของสมาธิ (ทางเทคนิคเรียก สมถกรรมฐาน)
คือการทำจิตใจให้สงบอยู่ในอารมณ์เดียว ไม่คิดเรื่องอื่น ผมใช้เยอะมาก จนเรียกว่าถึงขั้นเสพติดได้
คือทุกข์ใจเมื่อไหร่ ก็นั่งสมาธิ กระโดดเข้าไปหลบอยู่ในนั้น มันก็ลืมทุกข์ไปได้ชั่วคราว ลืมตาขึ้นมาก็ยิ้ม
แต่พอเจอเรื่องหนักใจเข้าอีก มันก็จะดำดิ่งลึกลงไปกว่าเดิม… ซึ่งผมก็ล้มๆ ลุกๆ อยู่อย่างนั้น

ถึงจุดที่กำลังแย่ ผมก็ได้รู้จักกับแนวทาง “การเจริญสติด้วยวิธีเคลื่อนไหว” ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติของ
หลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ” (ท่านละสังขารไปแล้วนะครับ) อันที่จริงผมเคยได้ยินชื่อของท่านมานานแล้ว
รวมทั้งเคยอ่านคำสอนของท่านด้วยซ้ำ แต่แปลกว่าเมื่อก่อนไม่เคยสนใจเลย
อาจจะเพราะถึงจุดที่เข้าตาจน “คว้าอะไรได้ ก็คว้าไปก่อน” เลยบังเอิญไปจับได้ของดีเข้า

หลักปฏิบัติที่ท่านสอน เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน แค่ขยับมือไปมา แล้วทำความรู้ตัวว่าขณะนั้น
มีการเคลื่อนไหวอย่างไร โดยไม่ต้องกำหนดหรือท่องคำบริกรรมใดๆ เลย
ลองฟังหลวงพ่อเทียนท่านสอนเองในวิดีโอข้างล่างนี้จะดีกว่าครับ

.
วิธีปฏิบัติเหมือนจะไม่มีอะไรครับ ถ้าเราคิดกันด้วยปัญญาทางโลก คิดหาเหตุ-ผลในกรอบของวิทยาศาสตร์
ก็เป็นแค่การทำความรู้สึกตัวเอาไว้ตลอดๆ เท่านั้นเอง แต่สิ่งที่แปลกก็คือ ผลลัพธ์ของการเจริญสติแบบนี้
มันทำให้ผมตามทันความคิด ตามทันการเคลื่อนไหวของตัวเองได้มากขึ้น แม้จะเลิกขยับมือแล้วก็ตาม

อารมณ์เศร้า อารมณ์ทุกข์ ที่เรามีอยู่พอเราขยับแขนเข้าสักพัก ตามรู้ไปสักพัก อารมณ์พวกนั้นมันก็เริ่มจางลง
เหลือเป็นแค่ความรู้ตัวในแขนที่กำลังเคลื่อนไหวเท่านั้นเอง ซึ่งก็อย่างที่บอกครับว่าแม้เลิกทำแล้ว
แต่กำลังสติที่เข้มแข็งขึ้น จากการได้ฝึกปฏิบัติ มันก็ยังทำงานอยู่ (แม้จะไม่ตลอดเวลา แต่ก็เห็นได้ชัด
ว่ามันทำงานครับ) ผลที่ผมสัมผัสได้คือ มันทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดน้อยลง รู้สึกโกรธน้อยลง คิดฟุ้งซ่านน้อยลง
ซึ่งตรงนี้ล่ะครับที่ผมบอกว่า การเจริญสติด้วยวิธีนี้ มันทำให้ “ใจฉลาด” ขึ้นได้

ผลในเบื้องต้นคงที่เพียงเท่านี้ครับ แต่หลวงพ่อเทียนท่านก็สอนให้เราปฏิบัติต่อไป
เพราะในระยะเวลาที่ยาวขึ้น ด้วยกำลังสติที่มีมากขึ้น ด้วยใจที่ฉลาดขึ้น
มันจะช่วยปัญญาปัญญาทางธรรมของเรา ไปจนถึงระดับที่สามารถจะเป็นอิสระจากทุกข์ได้
ผมเองก็คงจะพยายามฝึกปฏิบัติต่อไป เพราะอย่างน้อย แค่ผลที่ได้รับในปัจจุบัน มันก็คุ้มค่าแล้ว

ผมจึงขอแบ่งปันเรื่องของ “การเจริญสติด้วยวิธีเคลื่อนไหว” ให้เป็นพรข้อที่ 2 สำหรับปีใหม่ไทยปี 2554 นี้ครับ

2011- New Year Resolution in Action

2011 – New Year Resolution in Action
มาตั้งปณิฐานปีใหม่ 2011 เพื่อสร้างอุปนิสัยแห่งความเป็นเลิศ… สู่ชีวิตที่มีสุขกันนะครับ

ต้อนรับปีใหม่ด้วยการตั้งสัจจะอฐิษฐานทำสิ่งดีๆ กันนะครับ

ณ เวลาที่ผมเริ่มเขียนโพสนี้เป็นเวลาประมาณสี่ทุ่มสี่สิบห้านาทีของวันที่ 31 ธ.ค. 53
ซึ่งในอีกไม่กี่นาทีต่อไป… เราก็จะก้าวผ่านช่วงเวลาของปีเก่า 2553
เข้าสู่ปีใหม่ 2554 กันแล้วนะครับ…

ผมขอถือโอกาสนี้ส่งมอบความรู้สึกและความปรารถนาดี
แก่เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่เข้าชมเว็บ a-academy ทุกท่าน…

ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่นี้ ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ท่านนับถือ
เพื่อโปรดดลบัลดาลให้ท่านและครอบครัวของท่าน จงมีความสุขสมหวังในทุกๆ เรื่อง
ขอให้ท่านจงมีสุขภาพกายที่สมบูรณ์แข็งแรง มีสุขภาพใจที่เบิกบานแจ่มใส
และดำเนินชีวิต ในทุกๆ ขณะ อย่างมีสติ สัมปชัญญะตลอดปีใหม่ 2554 นี้และตลอดไป

ในโอกาสนี้ ผมอยากขอเชิญชวนทุกท่าน ทำสิ่งที่เป็นศิริมงคลร่วมกับผม
ด้วยการ “ตั้งสัจจะอฐิษฐาน” ที่จะ “ริเริ่ม” ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์
หรือ “ลดเลิก” การทำในสิ่งที่เป็นโทษ
เพื่อเป็นศิริมลคลและเป็นประโยชน์แก่ตัวท่านเองในช่วงเริ่มต้นปีใหม่นี้…

ถ้าท่านยังนึกไม่ออกว่าจะตั้งสัจจะอฐิษฐานในเรื่องใด
ท่านอาจพิจารณาตั้งสัจจะอฐิษฐานที่จะรักษา “ศีล 5”
ข้อใดข้อหนึ่งให้ได้อย่างบริสุทธิ์ในตลอดปีใหม่ 2554 นี้…

ถ้าท่านเลือกได้แล้วว่าจะตั้งสัจจะอฐิษฐานในเรื่องใด
เราก็มาเริ่มตั้งสัจจะอฐิษฐานกันได้เลยนะครับ

ท่านอาจจะเริ่มจากการทำจิตใจให้สงบ ไหว้พระ และสวดมนต์ในบทที่ท่านคุ้นเคย
พร้อมกับระลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัย และครูบาอาจารย์ที่ท่านเคารพ
แล้วตั้งนะโม 3 จบ ต่อด้วยการตั้งสัจจะอฐิษฐานว่า…

“ข้าพเจ้าขอตั้งสัจจะอฐิษฐานที่จะ ….. (กล่าวต่อด้วยสิ่งที่อยากทำหรือจะเลิกทำ)
ขอข้าพเจ้าจงมีกำลังใจ กำลังกาย และกำลังสติ
ที่จะทำให้ได้ตามสัจจะอฐิษฐานที่ข้าพเจ้าได้ให้ไว้
และขอศิริมงคล ความสุข ความเจริญก้าวหน้า จงเกิดแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด”

สำหรับตัวผมเองนั้น ผมตั้งความปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตในปี 2554 นี้
ให้อยู่ในกรอบของศีลทั้ง  5 ข้อ อย่างเต็มกำลังความสามารถ
ซึ่งก็เป็นสัจจะอฐิษฐาน ข้อเดียวกัน กับที่ผมเคยให้ไว้เมื่อต้นปี 2553

เวลาผ่านไป 1 ปีเต็ม… แม้ผมจะทำตามสัจจะที่ให้ไว้ได้อย่างไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าไหร่
อันเนื่องมาจากความเผลอตัว ความไม่มั่นคงพอของผม และเหตุผลอื่นๆ ร้อยแปด
แต่ผมบอกได้เต็มปากว่า ผมทำได้ดีกว่าในอดีต… มาก!

มากพอที่จะกล่าวได้ว่า…  ผมใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากขึ้น
และสัมผัสได้ถึงความเป็น “ปกติสุข” ที่มาพร้อมกับศีลที่บริสุทธิ์ขึ้นจริงๆ

ปีนี้ผมขอลองใหม่อีกครั้ง และตั้งใจที่จะทำให้ดีขึ้นอีก…
และอยากจะเชิญชวนให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ได้มาร่วมทำในสิ่งที่เป็นกุศลร่วมกันนะครับ

เขียนมายาวแล้ว… เหลือเวลาอีกประมาณ 40 นาที ก่อนที่จะขึ้นปีใหม่
ขอให้พวกเราได้ใช้เวลาช่วงนี้อย่างเป็นประโยชน์
และต้อนรับปีใหม่ด้วยรอยยิ้มกันทุกคนครับ… ^_^

The 90/10 Principle หลักการง่ายๆ ที่อาจเปลี่ยนชีวิตเราได้อย่างไม่น่าเชื่อ

The 90/10 Principle หลักการง่ายๆ ที่อาจเปลี่ยนชีวิตเราได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ดาวโหลดสไดล์ชุดนี้ได้ที่
http://www.slideshare.net/ChamnanNop/stephen-covey-the-9010-principle

ทำความรู้จักกับ Stephen R. Covey ได้ที่ http://www.stephencovey.com/

ทำความรู้จักตัวเองให้ดีขึ้นด้วยโปรแกรม My Personality บน Facebook

Screencast : ทำความรู้จักตัวเองให้ดีขึ้นด้วยโปรแกรม My Personality บน Facebook

  • ทดสอบและอ่านผลตามหลักของ Big Five Personality Traits และ Myers-Briggs Type Indicator (MTBI)
  • มีคำอธิบายอย่างละเอียด ถึงตัวตนของเราในแต่ละมิติ
  • มี Personality Matching ว่าเราเหมาะกับการเรียน/อาชีพแบบใด
  • เปรียบเทียบ Personality กับเพื่อนใน Facebook ได้